Last updated: 26 Sep 2019 | 2193 Views |
ว่าด้วยเรื่องไม่สนแล้วเขา สนเธอแทนได้ไหม /หยอกกกกกกก/ หน้าหนาวหากได้เห็นวิวตอนพระอาทิตย์ขึ้นกับตกดิน หรือวิวหมอกสูงๆหนาๆ ก็ถือว่าเป็นทริปที่เติมเต็มและปิดจ็อบปีนี้ได้อย่างสวยงามมและอิ่มเอม โดยเฉพาะเขาเอยดอยเอยในประเทศไทยนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะยอดเขาที่สูงไม่เกิน 3000 เมตรจะยังทำให้ภาวะการกลัวความสูงไม่สำแดงรุนแรง สภาพร่างกายยังคงรับได้ที่ความสูงเฉลี่ยไม่เกินนี้
นอกเหนือจากนั้นการเดินเขายังให้อะไรมากกว่าที่จะได้เห็นวิวสวยแน่นอน เรเมดี้ขอสรุป 6 ข้อ ลองมาดูกันว่าเราจะได้อะไรบ้างจากการเดินเขา
1.พัฒนางานกล้ามงานกระดูก
การ Trekking จะทำให้เรามีความยืดหยุ่นและถูกเพิ่มขีดจำกัดทั้งความแข็งแกร่งและการถึกทนเนื่องจากต้องทั้งเดินไกลโดยกล้ามเนื้อหลายส่วนจะถูกใช้งานและพัฒนาความแข็งแรงอย่างทั่วถึง ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้จะส่งผลให้มวลกระดูกเพิ่มมากขึ้น หรือก็คืออัตราการเกิดรูพรุนในกระดูกจะช้าลง โดยใครที่มีอาการปวดหลังปวดข้อการได้ลองเดินเขาก็จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมือนออกกำลังกายและทำกายภาพไปในตัว ซึ่งการแบกเป้ก็นับเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งแต่ก็อย่าลืมจำกัดน้ำหนักให้พอดี อย่าหนักจนเกินไปนะคะ
2.ร่างกายจะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลและการเผาผลาญไขมัน
เพราะการเดินเขาเป็นการออกกำลังกายที่ไม่เน้นความแรงแต่เน้นระยะเวลา การออกกำลังที่ใช้ระยะเวลายาวๆ ดีและปลอดภัยต่อคนที่มีโรคประจำตัว (เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ-อันนี้ก่อนไปอย่าลืมไปเชคหรือปรึกษาผู้เชี่ยวหน่อยนะคะ หัวใจแต่ละคนมีปัญหาไม่เหมือนกันจ้า) เพราะร่างกายจะไม่รีบนำน้ำตาลออกมาใช้จนหมด แต่จะใช้น้ำตาลจากเลือดในช่วงแรกๆและหลังจากนั้นจะใช้ไขมันเบิร์นเป็นพลังงานให้กล้ามเนื้อต่อไป อย่าลืมว่า Trekking ยังต้องมีการแบกสัมภาระอีกด้วย /เรเมดี้แนะนำว่าควรประเมินกำลังของเราเองด้วยน้า ไม่ให้หักโหมจนเกินไป แต่ละคนมีโปรไฟล์ร่างกายไม่เหมือนกันจ้า ห้ามเอาตัวเองไปเปรียบเทียบคนอื่นมากๆเนอะ/
3.เพิ่มประสิทธิภาพหัวใจและปอด
จากข้อ 2 การออกกำลังกายเน้นระยะเวลา ทำค่อยๆแต่ทำต่อเนื่องจะดีต่อหัวใจและปอดด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อกล้ามเนื้อเราแข็งแรง กล้ามเนื้อส่วนของหัวใจและอัตราการเต้นของหัวใจจะมีการพัฒนา (ที่เค้าชอบพูดสั้นๆว่า HR-Heartrate) เช่น HR จะค่อยๆน้อยลงที่ระยะเวลาผ่านไปนานๆ แปลว่าร่างกายของเราทนได้มากขึ้นแกร่งมากขึ้นรองรับและกักเก็บออกซิเจนได้มากขึ้น เหนื่อยยากขึ้นนั่นเอง
4.เค้าว่ากันว่าพัฒนา Soft Skill ด้วย
โลกยุคใหม่เรื่องที่ฮิตกันมากอีกหนึ่งเรื่องเลยคือ AI จะมาทำให้คนตกงาน แต่การเดิน Trekking ดีงามขนาดที่ว่าช่วยทำให้คุณรู้จักการจัดการ เรียนรู้ที่จะปรับตัว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกทั้งต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้ดีเมื่อเจอเหตุการณ์อะไรก็ตามเข้ามา ทั้งหมดทั้งมวลเป็นทักษะที่เค้าเรียกว่า Soft Skill ที่ AI ยังทดแทนไม่ได้ และโลกการทำงานในอนาคตล้วนต้องการคนที่มีการจัดการและใช้ Soft Skill เก่งๆอีกมาก /ทำไมงานเที่ยวมันถึงได้ดีขนาดนี้ :D /
5.ลดความเสี่ยงการเป็นซึมเศร้า หรืออาการอารมณ์แปรปรวนง่าย
การที่เราได้มีโอกาสเจอวิวสวยๆ กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอีกครั้ง เจอสิ่งแวดล้อมที่มีสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ตามระยะทาง เห็นความเรียบง่ายของการใช้ชีวิต เป็นการทำให้คนเราทุกคนได้ตกตะกอนและมีเวลาให้ได้จัดระบบระเบียบความคิดอีกครั้งหลังจากผ่านมรสุมชีวิตเมืองในการทำงาน ก็จะช่วยให้ความตึงเครียดและการกดดันต่างๆผ่อนคลายลง มีสติและกำลังใจในการไปต่อสู้เพื่องานและหน้าที่ที่เราต้องไปรับผิดชอบต่อไป /ดีงามแบบนี้ เดินเขาวนไปค่า XD 555/
6.ถึงขั้นที่มีการศึกษาว่าสามารถต่อสู้โรคมะเร็งได้ด้วยแหล่ะ
เคยมีงานศึกษาว่าการ Hiking (การเดินเขาระยะสั้น) สามารถทำให้ผู้ป่วยสู้โรคมะเร็งชนิดต่างๆได้ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด เป็นต้น โดย International Journal of Sports Medicine เค้าเคยทำการศึกษาวัดระดับ Antioxidants ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม “ก่อนและหลัง Hiking” พบว่าระดับ Antioxidants มีการเพิ่มขึ้นหลัง Hiking แน่นอนว่ายิ่งระดับ Antioxidants เพิ่มมากขึ้นยิ่งช่วยให้มนุษย์มีความสามารถในการต่อสู้การติดเชื้อ การเป็นโรคได้มากยิ่งขึ้น
7.ข้อนี้สำคัญสุด!!
จะก่อนหรือหลังไปเที่ยวการเตรียมตัวสำคัญมากๆ นอกจากจะต้องเตรียมกล้ามเนื้อและสุขภาพให้พร้อม โพรงจมูกหากตันและคัดจมูกก็จะทำให้ไปสูดอากาศได้ไม่เต็มปอด เพราะฉะนั้นอย่าลืมล้างจมูกเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าก่อนจัดทริปเที่ยวปีใหม่นี้นะคะ หรือใครไปมาแล้วการล้างจมูกจะช่วยให้เราชะล้างฝุ่นผงที่เราไปผจญภัยมา เราอาจพกเชื้อโรคจากสถานที่บางแห่งมาด้วย ล้างจมูกก็จะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้เยอะเลยค่า #ล้างจมูกด้วยเรเมดี้ #หายใจเต็มปอดได้ทุกเวลา
30 Jan 2021
1 Feb 2021
18 Aug 2017